Flexible Packaging คืออะไร? มีข้อดีอะไรบ้างในอุตสาหกรรมอาหาร

Flexible Packaging คืออะไร? มีข้อดีอะไรบ้างในอุตสาหกรรมอาหาร

Flexible Packaging หรือบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น คือ บรรจุภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ตามลักษณะของสินค้า เช่น ถุงพลาสติก ฟิล์มห่ออาหาร และซองสุญญากาศ ซึ่งแตกต่างจาก Rigid Packaging อย่างขวดแก้วหรือกระป๋องที่มีโครงสร้างแข็ง

บทบาทสำคัญของบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นในอุตสาหกรรมอาหาร

  • ยืดอายุการเก็บรักษา – ป้องกันออกซิเจน ความชื้น และแสง UV
  • ลดต้นทุนการผลิตและขนส่ง – ใช้วัสดุน้อยกว่าและมีน้ำหนักเบา
  • เพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค – เปิด-ปิดง่าย พกพาสะดวก

แนวโน้มการใช้ Flexible Packaging ในตลาดโลกและประเทศไทย

ในปัจจุบันตลาด Flexible Packaging เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สะดวกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและขนมขบเคี้ยว

แนะนำศึกษา : บรรจุภัณฑ์อาหารคืออะไร? มารู้จักความหมาย ประเภทและความสำคัญ

ประเภทของบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น (Flexible Packaging)

แบ่งตามลักษณะของบรรจุภัณฑ์

1. ถุงพลาสติกแบบรีซีล (Resealable Pouches)

  • ซองที่สามารถเปิด-ปิดซ้ำได้ ช่วยรักษาความสดใหม่ของอาหารหลังเปิดใช้งาน
  • เหมาะสำหรับอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยว และอาหารที่ต้องการเก็บรักษาความชื้น
  • มีการพัฒนาเทคโนโลยีซิปล็อคที่แน่นหนาขึ้น เพื่อป้องกันการรั่วซึมและรักษาคุณภาพอาหารได้นานยิ่งขึ้น

2. ฟิล์มห่ออาหาร (Stretch Film & Shrink Wrap)

  • ใช้ปกป้องอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ และอาหารพร้อมทาน
  • ฟิล์มยืด (Stretch Film) ใช้ห่อหุ้มอาหารให้แนบสนิท ป้องกันอากาศและความชื้น
  • ฟิล์มหด (Shrink Wrap) ใช้ห่อหุ้มอาหารให้แน่นหนา โดยใช้ความร้อนทำให้ฟิล์มหดตัว
  • ปัจจุบันมีการพัฒนาฟิล์มที่สามารถย่อยสลายได้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. ถุงสุญญากาศ (Vacuum Packaging)

  • ดูดอากาศออกจากถุง เพื่อลดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร
  • เหมาะสำหรับเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และอาหารแปรรูป
  • มีการพัฒนาถุงสุญญากาศที่ใช้วัสดุหลายชั้น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันการรั่วซึม

4. ซองลามิเนต (Laminated Pouches)

  • ใช้วัสดุหลายชั้น เช่น พลาสติก อลูมิเนียมฟอยล์ และกระดาษ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันการรั่วซึม แสง และความชื้น
  • เหมาะสำหรับอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และอาหารที่ต้องการการเก็บรักษาเป็นพิเศษ
  • การเลือกวัสดุในแต่ละชั้นจะส่งผลต่อคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์

5. บรรจุภัณฑ์แบบ Stand-up Pouches

  • ถุงตั้งได้ ช่วยเพิ่มพื้นที่การจัดวางสินค้าบนชั้นวางและดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
  • เหมาะสำหรับอาหารเหลว อาหารแห้ง และอาหารพร้อมทาน
  • มีการพัฒนารูปทรงของบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น มีปากจุกสำหรับเท หรือมีหูหิ้วเพื่อง่ายต่อการพกพา
บรรจุภัณฑ์แบบซองสำเร็จรูป (Flexible Packaging) ดีไซน์ทันสมัย ใช้สำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและดูแลผิว ช่วยป้องกันความชื้นและรักษาคุณภาพสินค้

แบ่งตามวัสดุที่ใช้

1. พลาสติก PET , PP , PE

  • ใช้ในบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นที่ต้องการความโปร่งใส เช่น ถุงขนมขบเคี้ยว ถุงบรรจุอาหารแช่แข็ง และฟิล์มห่ออาหาร
  • PET : มีความใสและแข็งแรง เหมาะสำหรับบรรจุเครื่องดื่มและอาหารที่มีความมัน
  • PP : ทนความร้อนและสารเคมี เหมาะสำหรับบรรจุอาหารที่ต้องผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน
  • PE :  มีความยืดหยุ่นและทนทาน เหมาะสำหรับบรรจุอาหารแห้งและอาหารแช่แข็ง
  • แนะนำอ่าน : บรรจุภัณฑ์พลาสติก – ประเภท ข้อดี และข้อเสียที่คุณต้องรู้

2. Metalized Film (ฟิล์มโลหะ)

  • ใช้ในการเก็บรักษาความสดและป้องกันแสง เช่น ซองกาแฟ ซองขนม และซองอาหารสำเร็จรูป
  • ฟิล์มโลหะช่วยป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจนและความชื้น ทำให้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้นานขึ้น
  • มีการใช้ฟิล์มอะลูมิเนียมกันอย่างแพร่หลาย ด้วยความสามารถในการป้องกันสิ่งต่างๆได้ดี

3. Bio-Based & Compostable Films

4. ฟิล์มลามิเนต

  • เป็นการนำวัสดุตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาประกบกัน เพื่อให้เกิดคุณสมบัติตามต้องการ เช่น ฟิล์มพลาสติกประกบกับฟิล์มอะลูมิเนียม เพื่อให้เกิดทั้งความเหนียว และกันแสงได้
  • ทำให้เกิดบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ตามความต้องการของผู้ผลิต และสินค้า

 ข้อดีของบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นในอุตสาหกรรมอาหาร

1. ลดต้นทุนและน้ำหนักเบา

  • บรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นใช้วัสดุน้อยกว่าบรรจุภัณฑ์แข็ง ทำให้ลดต้นทุนการผลิตและลดปริมาณขยะ
  • น้ำหนักที่เบากว่าช่วยลดต้นทุนการขนส่งและประหยัดพลังงาน
  • การใช้วัสดุน้อยลงส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

2. รักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร

  • วัสดุที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นมีคุณสมบัติในการป้องกันความชื้น ออกซิเจน และแสง UV ได้ดี ทำให้สามารถรักษาความสดใหม่และยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร
  • เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยช่วยให้สามารถปรับแต่งคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับอาหารแต่ละประเภท
  • การใช้บรรจุภัณฑ์สุญญากาศหรือบรรจุภัณฑ์ที่มีการปรับบรรยากาศ (Modified Atmosphere Packaging) ช่วยลดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และรักษาคุณภาพอาหาร

3. ช่วยให้ขนส่งสะดวกขึ้น

  • บรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นสามารถพับเก็บได้ ทำให้ประหยัดพื้นที่จัดเก็บและลดค่าขนส่ง
  • รูปทรงที่หลากหลายช่วยให้สามารถจัดเรียงสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • น้ำหนักที่เบากว่าช่วยลดภาระในการขนส่งและลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของสินค้า

4. ออกแบบให้ดึงดูดผู้บริโภคได้ง่าย

  • เทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทันสมัยช่วยให้สามารถพิมพ์ลวดลาย สีสัน และแบรนด์ได้อย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น
  • รูปทรงที่หลากหลายช่วยให้สามารถออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้โดดเด่นและดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
  • การใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Stand-up Pouches ช่วยเพิ่มพื้นที่การแสดงข้อมูลและสร้างความโดดเด่นบนชั้นวาง

5. เหมาะกับแนวโน้มการใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก

  • การพัฒนาวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable) และวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • การใช้วัสดุที่ผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable Resources) ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
  • การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีขนาดที่เหมาะสม (Right-Sized Packaging) ช่วยลดปริมาณวัสดุที่ใช้และลดขยะ
ซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบยืดหยุ่น (Flexible Packaging) แบรนด์ MOJO ใช้เทคโนโลยีซีลปิดแน่น เก็บรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

เปรียบเทียบ Flexible Packaging vs Rigid Packaging

คุณสมบัติFlexible PackagingRigid Packaging
น้ำหนักเบาหนักกว่า
ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสูงกว่า
ความแข็งแรงน้อยกว่าป้องกันการกระแทกได้ดี
รีไซเคิลยากกว่ารีไซเคิลได้ง่ายกว่า
ความสะดวกในการจัดเก็บพับเก็บได้ ประหยัดพื้นที่ใช้พื้นที่มากขึ้น
ตัวอย่างซองพลาสติก , ฟิล์มห่อขวดแก้ว , กล่องกระดาษ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และแนวทางลดขยะจากบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น

1. ความท้าทายของ Flexible Packaging ในการรีไซเคิล

  • โครงสร้างวัสดุผสม (Multi-layer) ทำให้ยากต่อการแยกและรีไซเคิล
  • ระบบการจัดเก็บและคัดแยกขยะยังไม่รองรับการรีไซเคิล Flexible Packaging อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การปนเปื้อนของเศษอาหาร ทำให้กระบวนการรีไซเคิลซับซ้อนขึ้น

2. การพัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • Compostable Films : ฟิล์มที่สามารถย่อยสลายได้ในสภาวะที่เหมาะสม เช่น ฟิล์ม PLA (Polylactic Acid)
  • Recyclable Pouches : ซองที่ออกแบบมาให้สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น โดยใช้วัสดุชนิดเดียว (Mono-material)
  • การใช้วัสดุรีไซเคิล : การนำพลาสติกรีไซเคิลมาผลิต Flexible Packaging เช่น rPET (Recycled Polyethylene Terephthalate)

นวัตกรรมใหม่ใน Flexible Packaging

1. Smart Packaging

  • บรรจุภัณฑ์ที่ใช้เซ็นเซอร์หรือตัวบ่งชี้เพื่อตรวจสอบคุณภาพและความสดของอาหาร
  • ตัวอย่าง : บรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนสีเมื่ออาหารหมดอายุ หรือบรรจุภัณฑ์ที่แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิไม่เหมาะสม

2. Active Packaging

  • บรรจุภัณฑ์ที่ปล่อยสารเพื่อรักษาคุณภาพอาหาร เช่น ซองดูดซับออกซิเจน หรือฟิล์มเคลือบสารต้านจุลชีพ
  • ตัวอย่าง : บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาเนื้อสัตว์หรือผลไม้

3. Sustainable Packaging Solutions

  • การพัฒนาฟิล์มที่ทำจากวัสดุชีวภาพ เช่น สาหร่าย หรือเห็ด
  • การใช้เทคโนโลยี Nano-coating เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความชื้นและออกซิเจน
  • การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถละลายน้ำได้

4. เทคโนโลยีการพิมพ์แบบดิจิทัล

  • การใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัลทำให้สามารถพิมพ์ลวดลายบนบรรจุภัณฑ์ได้หลากหลายและรวดเร็วขึ้น
  • การพิมพ์ดิจิทัลทำให้ลดปริมาณของเสียที่เกิดจากการพิมพ์แบบเก่า

5. บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

  • การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  • การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่ทนทานและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง

สรุป

บรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น (Flexible Packaging) ได้กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านต้นทุนที่ต่ำ น้ำหนักเบา และความสะดวกในการใช้งาน อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมและการคำนึงถึงแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน (Sustainable Packaging) เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องให้ความใส่ใจ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างประโยชน์ทางธุรกิจและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

Key Takeaways

  • ความหลากหลายของวัสดุ : ทำความเข้าใจประเภทของวัสดุที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น และเลือกใช้ให้เหมาะสมกับประเภทอาหารและวัตถุประสงค์การใช้งาน
  • ความปลอดภัยของอาหาร : เลือกใช้วัสดุที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับอาหาร เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาคุณภาพของอาหาร
  • ความยั่งยืน : ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • การออกแบบที่ดึงดูด : ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม โดดเด่น และสื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความประทับใจและดึงดูดผู้บริโภค
  • การรีไซเคิล : สนับสนุนการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น เพื่อลดปริมาณขยะและสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • การปฏิบัติตามกฎหมาย : ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์อาหาร เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • การติดตามเทรนด์ : ติดตามเทรนด์และนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น เพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของตลาด