เมื่อพูดถึงการเลือก ชนิดของกระดาษ สำหรับ กระดาษกล่อง หรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ หลายคนมักจะสนใจแค่เรื่องราคาเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว… คุณสมบัติของกระดาษ มีผลสำคัญกับทั้งความแข็งแรงและภาพลักษณ์สินค้า
หากเลือกผิด เช่น ใช้ กระดาษทำกล่อง ที่บางเกินไปสำหรับสินค้าที่หนัก หรือเลือกผิดประเภทจนพิมพ์สีไม่ได้ตามต้องการ จะกระทบกับทั้งต้นทุนและความเชื่อมั่นของลูกค้าโดยตรง
ความหมายของกระดาษ และสีกระดาษบ่งบอกอะไรได้บ้าง
เมื่อเราพูดถึง “กระดาษ” หลายคนอาจนึกถึงแค่วัสดุสำหรับทำกล่องบรรจุภัณฑ์ แต่ความจริงแล้ว ความหมายของกระดาษ มีความลึกซึ้งมากกว่านั้น เพราะ ชนิดของกระดาษ และ สีของกระดาษ สามารถสื่อสารถึงคุณค่าของสินค้า และภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้โดยตรง
ความหมายของกระดาษ ในมุมแบรนด์และการตลาด
กระดาษ ไม่ได้เป็นเพียงแค่วัสดุที่ห่อหุ้มสินค้า แต่ยังทำหน้าที่เป็น “พรีเซนเตอร์เงียบๆ” ของแบรนด์ โดยส่งผ่านความรู้สึกและภาพลักษณ์ที่แตกต่างกัน เช่น
- กระดาษแข็งแรง หนาแน่น → สื่อถึงความน่าเชื่อถือ มั่นคง
- กระดาษเนื้อบาง เบา → สื่อถึงความเรียบง่าย สบาย เป็นมิตร
- กระดาษรีไซเคิล → สื่อถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
การเลือกกระดาษที่เหมาะสม จึงเปรียบได้กับการแต่งกายของแบรนด์เพื่อออกงานสำคัญ ชุดที่เหมาะสมจะช่วยเสริมเสน่ห์ และดึงดูดสายตาผู้คนได้ดีขึ้น
สีกระดาษ – ภาษาที่สื่อความหมายได้โดยไม่ต้องพูด
สีกระดาษ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่สื่อสารถึงความตั้งใจของแบรนด์ได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น
สีของกระดาษ | ความหมาย | ตัวอย่างการใช้งานจริง |
สีขาว | ความสะอาด บริสุทธิ์ ทันสมัย | กล่องเครื่องสำอาง , กล่องอุปกรณ์การแพทย์ , กล่องออร์แกนิก |
สีน้ำตาลธรรมชาติ | ความเป็นธรรมชาติ รักษ์โลก ความจริงใจ | กล่องอาหารสุขภาพ , กล่องสินค้าส่งออก Eco |
สีเหลืองทอง | ความแข็งแกร่ง พรีเมียม อลังการ | กล่องเครื่องมือช่าง , กล่องเฟอร์นิเจอร์ , กล่องของขวัญพิเศษ |
ตัวอย่างการใช้งาน
- แบรนด์เบเกอรี่ที่เน้นสุขภาพ เลือกใช้กระดาษคราฟท์สีน้ำตาล เพื่อสะท้อนภาพความเป็นมิตรกับธรรมชาติ
- แบรนด์เครื่องสำอางหรู ใช้กล่องกระดาษสีขาวด้าน เพื่อเน้นความสะอาด ทันสมัย
- บริษัทขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม เลือกใช้กล่องกระดาษสีทอง เพื่อสื่อถึงความแข็งแรงและมาตรฐานสูง
ประเภทกระดาษที่ใช้ผลิตกล่องกระดาษ
เมื่อจะเลือกกระดาษทำกล่องบรรจุภัณฑ์ การเข้าใจประเภทกระดาษเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย เพราะแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน และเหมาะกับงานแต่ละแบบต่างกันไป มาดูกันว่ากระดาษที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง และเหมาะกับสินค้าแบบไหน
1. กระดาษคราฟท์ – ทนทาน รองรับน้ำหนักได้ดี
กระดาษคราฟท์ เป็นกระดาษที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกดทับ และเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการบรรจุสินค้าหนัก เช่น
- สินค้าอุปโภคบริโภค
- สินค้าส่งออก
- กล่องขนส่งในอุตสาหกรรม
คุณสมบัติของกระดาษคราฟท์
- มีทั้ง กระดาษคราฟท์สีธรรมชาติ (น้ำตาล) และ กระดาษคราฟท์ขาว
- โครงสร้างเยื่อกระดาษเหนียว ให้ความแข็งแรงสูง
- ทนต่อการฉีกขาด และทนแรงกระแทกได้ดี
แกรมที่นิยมใช้ : 300 แกรม , 350 แกรม , 375 แกรม , 450 แกรม
เหมาะกับ
- กล่องสินค้าเกษตร อาหารแห้ง
- กล่องอุตสาหกรรมหนัก
- กล่องที่เน้นภาพลักษณ์ Eco Friendly
2. กระดาษอาร์ตการ์ด – เพิ่มความหรูหราและงานพิมพ์สีสดใส
ถ้าอยากให้บรรจุภัณฑ์ของคุณดูหรูหรา โดดเด่นบนชั้นวางสินค้า กระดาษอาร์ตการ์ด คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด
คุณสมบัติของกระดาษอาร์ตการ์ด
- ผิวเรียบเนียน รองรับงานพิมพ์สีเต็มระบบ
- เหมาะกับการเคลือบ UV , Spot UV , เคลือบด้าน
- ให้สีสันสดใส ชัดเจน สร้างความรู้สึกพรีเมียมได้ดี
แกรมที่นิยมใช้ : 260 แกรม , 300 แกรม , 350 แกรม , 400 แกรม
เหมาะกับ
- กล่องของขวัญ
- กล่องเครื่องสำอาง
- กล่องสินค้าไลฟ์สไตล์แบรนด์หรู
3. กระดาษกล่องแป้งหลังเทา – ประหยัดแต่ได้มาตรฐาน
กระดาษกล่องแป้งหลังเทา เป็นทางเลือกที่หลายแบรนด์เลือกใช้ เพราะราคาไม่สูง แต่ยังได้คุณสมบัติพื้นฐานที่ดี
คุณสมบัติของกระดาษกล่องแป้งหลังเทา
- ด้านหน้าขาวพิมพ์สีได้ ด้านหลังเป็นสีเทา
- เนื้อกระดาษแน่นปานกลาง
- เหมาะกับงานพิมพ์ที่ไม่เน้นความหรูหราแต่ต้องการคงรูปทรงแข็งแรง
แกรมที่นิยมใช้ : 300 แกรม , 350 แกรม , 400 แกรม
เหมาะกับ
- กล่องอาหารสำเร็จรูป
- กล่องขนม
- กล่องใส่อุปกรณ์ทั่วไป
4. กระดาษกล่องแป้งหลังขาว – ดูดีกว่าด้วยภาพลักษณ์สะอาด
กระดาษกล่องแป้งหลังขาว คือกระดาษอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร หรือสินค้าที่เน้นความสะอาดน่าเชื่อถือ
คุณสมบัติของกระดาษกล่องแป้งหลังขาว
- ด้านหน้าและด้านหลังสีขาว
- รองรับการพิมพ์สีได้ดีทั้งสองด้าน
- ดูสะอาดตา เหมาะกับการสร้างความประทับใจแรกเห็น
แกรมที่นิยมใช้ : 300 แกรม , 350 แกรม , 400 แกรม , 450 แกรม
เหมาะกับ
- กล่องเบเกอรี่
- กล่องขนมพรีเมียม
- กล่องสินค้าออร์แกนิก

ตารางเปรียบเทียบชนิดของกระดาษที่นิยมใช้ในบรรจุภัณฑ์กระดาษ
ชนิดกระดาษ | แกรม | เหมาะสำหรับ | หมายเหตุ |
กระดาษคราฟท์ | 300–450 แกรม | กล่องส่งสินค้า , บรรจุภัณฑ์กระดาษที่เน้นความทน | ทนแรงกดทับดีเยี่ยม |
กระดาษอาร์ตการ์ด | 260–400 แกรม | กล่องพรีเมียม , กล่องของขวัญ | พิมพ์สีสด ชัดเจน |
กล่องแป้ง | 300–400 แกรม | กล่องอาหาร , ขนม | ราคาประหยัด คุ้มค่า |
3 ขั้นตอน เลือกกระดาษให้เหมาะกับแบรนด์ของคุณ
การเลือก ชนิดของกระดาษ สำหรับทำกล่องบรรจุภัณฑ์ ไม่ได้มีแค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังต้องคำนึงถึงความแข็งแรง การรองรับน้ำหนัก และภาพลักษณ์แบรนด์ด้วย ลองมาดูขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณเลือกกระดาษได้แม่นยำมากขึ้น
1. เลือกแกรมกระดาษตามน้ำหนักสินค้า
แกรม (GSM) คือค่าความหนาแน่นของกระดาษ ยิ่งเลขแกรมสูง กระดาษยิ่งหนาและแข็งแรง
แนวทางเลือกแกรมเบื้องต้น
น้ำหนักสินค้า | แกรมกระดาษที่แนะนำ | ตัวอย่างจริง |
สินค้าน้ำหนักเบา (ไม่เกิน 500 กรัม) | 260–300 แกรม | กล่องขนมเบเกอรี่ , กล่องสบู่ |
สินค้าปานกลาง (500 กรัม – 2 กก.) | 300–350 แกรม | กล่องเสื้อผ้า , กล่องเครื่องสำอาง |
สินค้าน้ำหนักมาก (มากกว่า 2 กก.) | 350–450 แกรมขึ้นไป | กล่องอะไหล่รถยนต์ , กล่องเครื่องมือ |
หมายเหตุ : อย่าลืมเผื่อแรงกด/แรงกระแทกในการขนส่งด้วย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของสินค้า
2. เลือกชนิดกระดาษให้เหมาะกับงานพิมพ์ และภาพลักษณ์
การเลือกกระดาษต้องดูด้วยว่า เราจะพิมพ์อะไรลงไปบ้าง เช่น โลโก้ , ภาพสินค้า , ลวดลายเฉพาะ
ตัวเลือกกระดาษตามสไตล์งานพิมพ์
- ถ้าต้องการพิมพ์สีสด คมชัด → เลือกกระดาษอาร์ตการ์ด (เหมาะกับกล่องเครื่องสำอาง , กล่องขนมของขวัญ)
- ถ้าเน้นความดิบ เท่ ธรรมชาติ → เลือกกระดาษคราฟท์ (เหมาะกับกล่องอาหารสุขภาพ , กล่องสินค้า ECO)
- ถ้าอยากได้ราคาประหยัดแต่ยังพิมพ์ได้ดี → เลือกกล่องแป้งหลังเทา / หลังขาว (เหมาะกับกล่องอาหารทั่วไป , กล่องขนม)
ตัวอย่าง : แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่ต้องการสร้างลุค Eco-friendly มักเลือกใช้กระดาษคราฟท์สีน้ำตาลธรรมชาติ พร้อมพิมพ์โลโก้สีดำเรียบง่าย เพื่อเสริมจุดยืนรักษ์โลก
3. อย่าลืมคำนึงถึงวิธีทำแพคเกจจิ้ง กระดาษ ด้วย (การเคลือบและการตกแต่ง)
แม้จะเลือกกระดาษได้เหมาะสมแล้ว แต่กระบวนการทำแพคเกจจิ้งก็สำคัญไม่แพ้กัน การเคลือบกระดาษ หรือการทำพื้นผิวพิเศษ มีผลต่อทั้งความสวยงาม และการปกป้องสินค้า
ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการเคลือบแพคเกจจิ้ง
- เคลือบ UV → ช่วยเพิ่มความเงา และกันน้ำได้บางส่วน
- เคลือบด้าน (Matt Lamination) → เพิ่มความเรียบหรู นุ่มมือ
- Spot UV → เน้นเฉพาะจุด (เช่น โลโก้ให้เงา) เพิ่มความพรีเมียม
- เคลือบกันชื้น → เหมาะกับกล่องอาหาร หรือสินค้าที่เสี่ยงเจอความชื้น
ตัวอย่าง : กล่องเค้กสำหรับขายออนไลน์ เลือกใช้กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม เคลือบกันชื้น เพื่อป้องกันปัญหาเหงื่อจากตู้เย็นทำให้กล่องเสียรูป
เมื่อเลือกกระดาษผิด แล้วเกิดอะไรขึ้น?
การทำบรรจุภัณฑ์กระดาษ ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ความเสียหายมหาศาลได้จริงๆ ลองมาดูเคสตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง กับร้านเบเกอรี่ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
กล่องเค้กพังเพราะเลือกกระดาษผิด
เหตุการณ์ : ร้านเบเกอรี่ชื่อดังได้เปิดตัวเค้กสูตรใหม่ น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัมต่อกล่อง เลือกใช้ กระดาษกล่องแป้งหลังเทา 300 แกรม สำหรับผลิตกล่อง
เหตุผลที่เลือก
- ต้องการลดต้นทุน (กระดาษกล่องแป้งราคาถูกกว่ากระดาษอาร์ตการ์ดประมาณ 20–30%)
- เห็นว่าสินค้าคือเค้กที่ไม่ดูดซับน้ำมันมากนัก คิดว่าน่าจะพอรองรับน้ำหนักได้
ปัญหาที่เกิดขึ้น
- หลังจากจัดส่งเค้กไปยังหน้าร้านค้าปลีก ผ่านไป 48 ชั่วโมง กล่องหลายใบเริ่ม เสียทรง
- บางกล่องยุบตัวจากแรงกดทับตอนเรียงซ้อนบนชั้นวาง
- เกิด รอยเปื้อนน้ำมันเบาๆ จากเนื้อเค้กซึมออกมา ทำให้กล่องดูเก่าและไม่สะอาด
ผลกระทบ
- ต้องรีบเรียกคืนสินค้า
- เสียชื่อเสียง เพราะลูกค้าหลายคนมองว่ากล่องดู “ไม่พรีเมียม”
- เสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนในการผลิตกล่องล็อตใหม่
วิเคราะห์สาเหตุลึกๆ
- เลือกกระดาษแกรมต่ำเกินไป (300 แกรม ไม่เหมาะกับสินค้าน้ำหนัก 1 กิโลกรัม)
- ไม่พิจารณาสภาพการขนส่ง (กล่องต้องเรียงซ้อนกันหลายชั้น)
- ไม่ได้เคลือบกันน้ำหรือกันไขมัน (ส่งผลให้ความชื้นทำลายความแข็งแรงของกล่องเร็วขึ้น)
แนวทางแก้ไขที่นำมาใช้ภายหลัง
- เปลี่ยนวัสดุเป็น กระดาษอาร์ตการ์ด 350 แกรม → เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและคงรูปได้ดีขึ้น
- เพิ่ม การเคลือบกันน้ำมัน (Oil Resistant Coating) ที่ผิวกระดาษ → เพื่อป้องกันปัญหารอยน้ำมันซึมบนกล่อง และช่วยยืดอายุการใช้งานของบรรจุภัณฑ์
- ปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ให้กล่องมีโครงสร้างเสริม (Double Wall) → ลดแรงกดทับจากการเรียงซ้อน
บทเรียนที่ได้จากเคสนี้
- อย่าเลือกกระดาษจากราคาอย่างเดียว ต้องประเมินตามลักษณะสินค้าและการใช้งานจริงเสมอ
- น้ำหนักสินค้า เป็นปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาในการเลือกแกรมกระดาษ
- สภาพแวดล้อมระหว่างขนส่งและจัดเก็บ (เช่น ความชื้น , การเรียงซ้อน) มีผลต่อการเลือกชนิดกระดาษอย่างมาก
- การเคลือบผิวกระดาษ สำคัญไม่น้อย ช่วยเพิ่มทั้งอายุการใช้งานและภาพลักษณ์สินค้า
อยากทำกล่องเอง? นี่คือแนวทาง แบบ กล่องกระดาษ ทําเอง
สำหรับเจ้าของแบรนด์มือใหม่ หรือร้านค้าออนไลน์ที่อยากประหยัดงบประมาณ พร้อมสร้างสรรค์แพคเกจจิ้งที่สะท้อนตัวตนแบรนด์ การทำ “แบบกล่องกระดาษทำเอง” ถือเป็นทางเลือกที่ทั้งสนุก ประหยัด และแตกต่าง โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องจักรใหญ่โต แค่เลือกวัสดุให้เหมาะ และทำตามขั้นตอนง่ายๆ ก็เริ่มต้นได้ทันที
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม สำหรับทำกล่องกระดาษด้วยตัวเอง
- กระดาษตามชนิดที่ต้องการ เช่น กระดาษคราฟท์ , กระดาษอาร์ตการ์ด หรือกล่องแป้ง
- กาวสำหรับงานกระดาษ (เช่น กาวลาเท็กซ์ หรือกาวแท่ง)
- กรรไกรหรือคัตเตอร์
- ไม้บรรทัดโลหะ และปากกาเคมีหัวแหลม
- แม่แบบ (Template) กล่อง (สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ หรือวาดเอง)
ขั้นตอนทำกล่องกระดาษง่ายๆ (แบบมือใหม่ทำได้)
Step 1 : เลือกกระดาษและวางแผนขนาดกล่อง
เลือกกระดาษตามสินค้า เช่น
- สินค้าเบา → ใช้กระดาษ 260-300 แกรม
- สินค้าหนัก → ใช้กระดาษ 350 แกรมขึ้นไป
จากนั้นกำหนดขนาดกล่องตามสินค้าจริง บวกเผื่อขนาด 0.5-1 ซม. เพื่อความพอดี
Step 2 : วาดหรือพิมพ์แม่แบบกล่องลงบนกระดาษ
- ใช้แม่แบบพื้นฐาน เช่น ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ กล่องแบบฝาเสียบ
- ใช้ไม้บรรทัดวัดระยะ และปากกาเคมีเขียนรอยพับอย่างแม่นยำ
(ตรงนี้สามารถค้นหาแบบ “Template แบบกล่องกระดาษทําเอง” ฟรีได้ออนไลน์ หรือวาดเองก็ได้)
Step 3 : ตัดตามแบบ และพับตามรอย
- ใช้คัตเตอร์หรือกรรไกรตัดตามเส้น
- ใช้ไม้บรรทัดช่วยรีดเส้นพับให้เรียบ (เวลาพับจะสวยงามเป็นมืออาชีพ)
Step 4 : ประกอบกล่องด้วยการทากาว
- ทากาวเฉพาะจุดที่ต้องเชื่อม (เช่นขอบข้าง)
- รอให้กาวเซตตัวประมาณ 2–3 นาทีเพื่อความแข็งแรง
เคล็ดลับทำกล่องกระดาษให้ออกมาสวยแบบมืออาชีพ
- เลือกใช้กระดาษแกรมสูงสำหรับสินค้าที่ต้องการกล่องแข็งแรง
- หากต้องการลุคพรีเมียม ให้เลือกกระดาษอาร์ตการ์ด แล้วเคลือบเงาหรือเคลือบด้าน
- ถ้าอยากได้กล่องสไตล์รักษ์โลก → ใช้กระดาษคราฟท์สีน้ำตาล และพิมพ์โลโก้ด้วยหมึกธรรมชาติ

ตัวอย่าง : กล่องขนม Homemade ที่ทำเองได้ง่าย ๆ
สินค้า : คุกกี้โฮมเมด 10 ชิ้น
แนวทางทำกล่อง
- ใช้กระดาษอาร์ตการ์ด 300 แกรม
- ใช้แม่แบบกล่องสี่เหลี่ยมขนาด 10x10x5 ซม.
- พิมพ์โลโก้ขาว-ดำเรียบง่าย
- เคลือบด้านเพื่อเพิ่มความหรูหรา
- ปิดท้ายด้วยเชือกป่านมัด เพิ่มความ Eco Touch
ผลลัพธ์ : ได้กล่องสวยดูดี ใช้งบน้อย และสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ทันที
สรุป (เข้าใจได้ใน 1 นาที)
การเลือก ชนิดของกระดาษ สำหรับผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ ไม่ได้มีแค่เรื่องความแข็งแรง แต่ยังส่งผลถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยตรง กระดาษแต่ละประเภทมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น กระดาษคราฟท์ที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระดาษอาร์ตการ์ดที่เน้นความเรียบหรูดูพรีเมียม และกล่องแป้งหลังเทาหรือหลังขาวที่ตอบโจทย์ด้านต้นทุนคุ้มค่า การเลือกแกรม (น้ำหนักกระดาษ) ต้องสัมพันธ์กับน้ำหนักสินค้า เช่น สินค้าหนักควรใช้กระดาษหนา 350–450 แกรม เพื่อความปลอดภัยระหว่างขนส่ง
นอกจากนี้ สีของกระดาษ ยังสื่อสารถึงบุคลิกของสินค้าได้ชัดเจน เช่น สีขาวแสดงถึงความสะอาดทันสมัย สีน้ำตาลคราฟท์สะท้อนแนวคิดรักษ์โลก ส่วนสีทองให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและหรูหรา ก่อนตัดสินใจเลือกกระดาษ ควรพิจารณาด้วยว่าจะใช้เทคนิคการทำแพคเกจจิ้งอะไร เช่น เคลือบกันน้ำ เคลือบด้าน หรือพิมพ์เฉพาะจุด เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กล่องบรรจุภัณฑ์ของคุณ
การเลือกกระดาษผิดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้สูญเสียทั้งภาพลักษณ์และต้นทุนโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการเลือกกระดาษจึงไม่ใช่แค่เลือกจากราคา แต่ต้องมองภาพรวมทั้งการใช้งาน การขนส่ง และความรู้สึกที่ต้องการส่งถึงลูกค้าด้วย เพื่อให้กล่องบรรจุภัณฑ์ของคุณ เป็นมากกว่ากล่อง แต่คือประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ควรพิจารณาน้ำหนักสินค้า ภาพลักษณ์ที่ต้องการสื่อ งบประมาณ และเงื่อนไขการขนส่ง เช่น สินค้าหนักควรเลือกกระดาษแกรมสูงเพื่อความแข็งแรง
กระดาษคราฟท์เน้นความทนทานและลุคธรรมชาติ ส่วนกระดาษอาร์ตการ์ดเน้นผิวเรียบ พิมพ์สีสด เหมาะสำหรับงานพรีเมียมและต้องการภาพลักษณ์หรูหรา
ถ้าเป็นขนมเบา น้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม กระดาษ 260–300 แกรม เช่น กระดาษอาร์ตการ์ด หรือกล่องแป้งหลังเทา ก็เพียงพอสำหรับความแข็งแรงและความสวยงาม